วันนี้ผมไปฟังศาลปกครอง ออกนั่งบัลลังก์ พิจารณาคดี ที่ผมฟ้องคณะกรรมการสรรหาคณบดีคณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ ซึ่งทางศาลปกครองได้ส่งหมายแจ้งมาว่าเป็นการพิจารณาคดีครั้งแรก ซึ่งผมก็ไม่ทราบกระบวนการของศาลปกครองเท่าไร
สำหรับความเป็นมาของเรื่องนี้ท่านสามารถอ่านได้จากบทความก่อนหน้านี้ได้ ในเรื่อง “ฟ้องทำไม“
บรรยากาศในห้องพิจารณาคดี มีความโอ่อ่าสวยงามเนื่องจากศาลปกครองเป็นองค์กรใหม่กว่าศาลอื่นๆ อาคารสำนักงานศาลปกครองที่ถนนแจ้งวัฒนะ มีความสวยสง่า และสะดวกสบายเป็นอย่างยิ่ง ส่วนในห้องพิจารณาคดีนั้น มีบัลลังก์เช่นเดียวกับศาลธัญบุรี ที่ผมไปบ่อยๆ ในคดีอาญา แต่ห้องกว้างใหญ่ โอ่โถงมากกว่า ติดแอร์เย็นฉ่ำ และมีเจ้าหน้าที่ประจำห้องพิจารณาคดี ใส่สูทอยู่หลายคน ดูอลังการมาก
เมื่อองค์คณะผู้พิพากษาออกนั่งบัลลังก์ มีผู้พิพากษา 4 ท่าน ท่านประธานเริ่มโดยการสอบถามว่าผู้ฟ้องคดี และผู้ถูกฟ้องคดีมาฟังการพิจารณาของศาลหรือไม่ จากนั้นได้ให้ผู้พิพากษาท่านหนึ่ง อ่านสรุปสำนวนคดี ที่ท่านผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนได้รวบรวมไว้ให้องค์คณะฯ ฟัง
จากนั้นท่านให้โอกาสทั้งสองฝ่าย คือผู้ฟ้องคดี และผู้ถูกฟ้องคดี แถลงด้วยวาจา หรือด้วยเอกสาร ว่ามีข้อขัดแย้งกับสรุปสำนวนดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งผมได้ขอแถลงด้วยวาจา แต่มิได้ขัดแย้งกับสรุปสำนวนคดีแต่อย่างใด เพียงแต่กล่าวย้ำประเด็นของคดีอย่างสรุป
แล้วขั้นตอนต่อมาก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจนิดหน่อย คือท่านประธานได้มอบให้ท่านผู้พิพากษาเจ้าของคดี อ่านคำวินิจฉัยของท่านให้กับองค์คณะฟัง โดยอนุญาตให้คู่กรณีทั้งสองฝ่ายนั่งฟังอยู่ด้วย
ผมไม่นึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่รอคอย มันจะปรากฏผลอย่างง่ายดายเพียงนี้ เพราะท่านเจ้าของสำนวน ท่านอ่านคำวินิจฉัยของท่าน อย่างชัดถ้อยชัดคำ ว่าคดีนี้ ท่านพิจารณาเห็นว่า ประกาศของคณะกรรมการสรรหาคณบดีคณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ ลงวันที่ 7 มกราคม 2554 นั้น “ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” และให้มหาวิทยาลัยไปดำเนินการแก้ไข ภายในเวลา 30 วัน !!!
ขณะที่ผมได้ยินข้อความในเครื่องหมายคำพูดนั้น ความรู้สึกของผมมิอาจบรรยายได้ คนเราจะมีความรู้สึกยินดีจนสุดบรรยายได้นั้นในชีวิตคงจะไม่กี่ครั้ง และนี่คงเป็นอีกครั้งหนึ่งในชีวิตของผม แต่ผมต้องควบคุมกริยาอาการของตัวเองให้สำรวมไว้เพราะอยู่ต่อหน้าศาล โอ…
แต่ในวันนี้ยังไม่ใช่การพิพากษา เป็นเพียงการพิจารณาครั้งแรก และในที่สุดท่านประธานองค์คณะ ก็สรุปว่า ศาลจะนัดฟังคำพิพากษาอีกครั้ง ซึ่งผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คงจะไม่มีการกลับคำวินิจฉัยอีกแล้ว
ผลของคำพิพากษา
เพื่อนๆ ถามมาว่า แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป คำตอบนั้นยังไม่สามารถยืนยันได้แน่ชัด เพราะคู่กรณี ยังสามารถอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดได้ ซึ่งคงใช้เวลาพิจารณาอีกนาน หรือถ้าเขาไม่อุทธรณ์ เขาก็ต้องทำตามคำสั่ง ว่าประกาศที่ไม่ส่งผมเข้าไปให้สภามหาวิทยาลัยคัดเลือกเป็นคณบดีนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย เขาก็ต้องให้ผมไปนำเสนอวิสัยทัศน์ ในการเป็นคณบดี ให้กับสภามหาวิทยาลัยฟัง แล้วก็ให้กรรมการสภามหาวิทยาลัย ลงคะแนน เลือกหรือไม่เลือก (เพราะมีผู้สมัครคนเดียว ไม่มีคู่แข่ง)
ซึ่งในสภาฯ นี้ กรรมการทั้งหลายเขาก็อาจจะไม่เลือกผม แล้วผมก็ไม่ได้เป็นคณบดีอยู่ดี
แต่จุดประสงค์ของการฟ้องคดีนี้ มันไม่ได้สิ้นสุดอยู่ที่คำพิพากษาศาลปกครอง เพราะคำพิพากษานี้ ช่วยบ่งชี้ว่าการกระทำที่ผ่านมานั้น ไม่ถูกต้อง ผู้ที่รับผิดชอบ ก็ต้องมีความผิด และผมก็จะพิสูจน์ให้สังคมมหาวิทยาลัยทราบว่า อะไรที่ทำได้ อะไรที่ทำไม่ได้